page Views: 519
"เคลื่อนโลก ด้วยเรื่องของเราเอง"
กาดสวนแก้ว เขา เธอ และความทรงจำ
“นักแสดงรู้สึกอย่างไร คนดูรู้สึกอย่างนั้น” ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นทฤษฎีศิลปะการแสดงของทุกสำนักในโลกหรือเปล่า แต่ผมจำขึ้นใจ ถ้านึกถึงคำนี้ขึ้นมาทีไร ใบหน้าของครูช่าง อ. ชนประคัลภ์ จันทร์เรือง จะลอยมาพร้อมๆกัน ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกในช่วงวัยที่กำลังแสวงหาทักษะชีวิต และเมื่อได้ลองทำแล้วทำเล่าจน(คิดว่า)ทำได้ ก็ยิ่งเห็นว่าเป็นจริงตามประโยคนั้นทุกประการ
ไม่เพียงแต่นักแสดงเท่านั้น ผมพบว่าศิลปะทุกแขนงที่ต้องการสื่อสารไปถึงผู้อื่น ผู้สื่อสารต้องรู้สึกก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเรารู้สึกและหากเรามีทักษะมากพอ เราก็จะสามารถถ่ายทอดออกไปให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชม ผู้ดู ผู้ฟังหรือผู้อ่าน รู้สึกไปด้วย ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกผมถือว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับงานศิลปะ
เมื่อได้รับความอนุเคราะห์จากมิตรสหายทางศิลปะให้มาร่วมอ่านงานของนักปกติเขียน จึงไม่รีรอที่จะตกปากรับคำและเมื่อได้อ่านแล้ว พบว่านักเขียนแต่ละคนมีวินัยกันมากเหลือเกิน เมื่ออ่านแล้วจึงอยากจะให้กำลังใจเพื่อน พี่น้อง นักเขียนทุกๆท่าน เขียนกันต่อไปอย่าได้ลดละ อย่าได้เสียกำลังใจกันเลย
ในบรรดางานเขียนที่ถูกส่งมาให้หลายสิบชิ้น เมื่ออ่านดูแล้วแต่ละคนชั้นเชิงและฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หลายคนหาเรื่องธรรมดาๆ นำมาเล่าได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว บางคนนำเรื่องที่พบเห็นในชีวิตประจำวันมาเล่าได้อย่างมีประเด็น และหลายคนก็มีชั้นเชิงทางภาษาในระดับที่ดีเลยทีเดียว ซึ่งผมก็รู้ในทันทีเลยว่า มันต้องมาจากการเขียนบ่อยๆอย่างแน่นอน
แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งผมอ่านแล้วเกิดความประทับใจอย่างมาก อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าคนเขียนต้องรู้สึกกับสิ่งที่เขียนลงไปแน่ๆ เพราะผมในฐานะคนอ่าน เมื่ออ่านจบแล้ว ความรู้สึกมันยังไม่จบไปพร้อมกับเรื่อง มันคล้ายๆกับว่าทุกตัวอักษรที่กลั่นกรองออกมานั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกของผู้เขียนอยู่ท่วมท้น
“กาดสวนแก้ว”เป็นเรื่องเล่าของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ในช่วงวัยรุ่นเกิดอุบัติเหตุแล้วได้ไปพบกับนักกายภาพสาวที่โรงพยาบาลในเชียงใหม่ และหกปีต่อมาเขาได้ไปพบกับเธออีกครั้งและหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก
ตัวเรื่องมีอยู่เพียงเท่านี้แต่ลีลาการเล่าของ “สุรัตน์ ฐิตา” กลับทำให้ผมประทับใจ ทั้งภาษาที่เขาใช้ถ่ายทอดออกมาและการเล่าเรื่องที่สั้น กระชับ และได้ใจความ (รวมทั้งความรู้สึกด้วย)
เขาใช้ภาษาเล่าเรื่องได้อย่างดี “ในเช้าที่ฟ้าครึ้มฝน แดดไม่แรงแต่อบอ้าว ฝนกำลังตั้งเค้า กลุ่มเมฆแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทึบทึม – รถตู้ผู้มาเยือน เร่งรุด ลัดเลาะ ไปตามถนนคดโค้ง เลียบไปตามแนวเขา มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่” จะเห็นว่าผู้เขียนใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม เห็นภาพและดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว
หรือตอนพรรณนาถึงนักกายภาพสาว “ตากลมโต เส้นผมสีน้ำตาลยาวหยักศก ปลายผมหยิกเป็นลอน ผิวเธอขาวเหมือนไม่เคยโดนแสงแดด แต่ใสเหมือนชื่อเธอ” เป็นอีกลีลาทางภาษาที่ผมค่อนข้างชอบทีเดียว เพราะในเรื่องไม่ได้บอกว่าเธอชื่ออะไร แต่คำที่ใช้ว่า ใสเหมือนชื่อเธอ ก็น่าจะทำให้คนอ่าน คาดเดาชื่อเธอไปต่างๆ นานา
ตอนที่ชายหนุ่มกลับไปหาเธอแล้วได้ข่าวว่าเธอย้ายโรงพยาบาลไปทำงานอีกที่ ผู้เขียนจงใจไม่บอกในเรื่องตอนนั้นว่าข่าวที่ได้ยินคือ พยาบาลสาวคนนั้นแต่งงานแล้ว แต่เลือกที่จะบอกโดยบรรยายความรู้สึกของชายหนุ่มแทน “ผมสำรวจความรู้สึกขณะนั้น ไม่ถึงกับเจ็บปวด เพียงแค่รู้สึกวูบหวิว ไร้น้ำหนัก คล้ายห้วงเวลานั้นกฎและแรงโน้มถ่วงโลก ไม่มีอยู่จริง” ผมคิดว่าเมื่อผู้อ่านได้อ่านแล้ว คงคิดไปไกลเหมือนผมว่า เธอคงไม่แค่ย้ายที่ทำงานใหม่แน่ๆ
ผู้เขียนยังเล่นกับชั้นเชิงการดำเนินเรื่องต่อไปอีก คือหลังจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ชายหนุ่มก็ไปตามหา หญิงสาวที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ แต่ สุรัตน์ ฐิตา เลือกใช้การดำเนินเรื่องที่ผมชอบมาก “ ผมทบทวนชื่อสถานที่ทำงานใหม่ของเธอ บันทึกไว้ในสมองส่วนการจดจำ แล้วภาพก็ตัด รู้ตัวอีกที ผมก็มาที่เชียงใหม่ หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวเมือง” ปกติคำว่าภาพตัดเรามักได้ยินคนทั่วไปใช้กับคนเมา ใครจะไปคาดคิดว่าผู้เขียนจะมาใช้ในการดำเนินเรื่องแบบนี้ หรือว่าจะสื่อว่า เมา(รัก) ก็ไม่แน่ใจ แต่ผมอ่านแล้วชอบมาก
หลังจากดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ชายหนุ่มได้ไปพบกับนักกายภาพสาว พอชายหนุ่มเดินเข้าไปในแผนกนั้น ผู้เขียนได้บรรยายว่า “พอผมผลักประตู เดินเข้าไป ผมก็พบเห็นเธอทันที เราเห็นกัน จำได้คล้ายๆว่า ผมแค่เอ่ยทักทาย เหมือนเมื่อหกปีก่อน ตอนที่ผมไปกายภาพทุกวัน แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เรียกชื่อเธอ ไม่ได้เรียกว่พี่ เธอก็ไม่ได้เรียกชื่อผม เธอยืนอยู่ใกล้ประตูพูดขึ้นมาว่า “มา ไปกินข้าวกัน นี่กำลังจะออกไปพอดี”......... เราเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน ในนั้น เวลานั้น มีเพียงแค่เราสองคน ผมและเธอต่างไม่ได้พูดคำใดต่อกัน ราวกับว่า เราเพิ่งแยกกันไปเมื่อวานนี้ และผมเพิ่งกลับมา หลังทำกายภาพกับเธอเมื่อวาน”
ผมค่อนข้างชอบฉากนี้เป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่มันเหมือนกับว่าคนจะเขียนแบบนี้ได้ต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากแน่ๆ ผมคิดว่าตัวละครมีความเป็นมนุษย์มากและผู้เขียนสามารถสื่อออกมาเป็นตัวหนังสือให้คนอ่านรู้สึกถึงความรักความผูกพันของตัวละคร มีให้แก่กันโดยที่ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือยเลย
หลังจากทั้งสองได้พบกัน ไปกินข้าวด้วยกัน แล้วก็ต่างแยกย้ายกันกลับ และไม่ได้พบกันอีกเลย
เรื่องมีอยู่เท่านี้จริงๆ แต่ผมกลับพบว่าเป็นเรื่องที่ผมประทับใจมาก
“นักแสดงรู้สึกอย่างไร คนดูรู้สึกอย่างนั้น” ผมว่าน่าจะเป็นวิธีการของนักเล่าเรื่องที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเล่าเรื่องโดยวิธีใด ความสำคัญมันไม่ได้จบตรงที่คนเล่าเรื่องรู้สึกอย่างเดียว หากทว่าเมื่อรู้สึกแล้วต้องพยายามฝึกฝนทักษะที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้สึกออกมาให้ผู้อ่าน ผู้ชม ผู้ดู ผู้ฟังของเรารู้สึกตามไปด้วย สำหรับนักเขียนแล้วก็ย่อมต้องฝึกฝนการใช้ภาษา ซึ่งวิถีที่นักปกติเขียนทุกๆท่านเคี่ยวกรำอยู่ก็คือหนทางไปสู่ความเป็นเลิศทางภาษาอยู่แล้ว
จึงอยากจะขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนทุกๆท่านต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆไปให้ได้ เพราะเข้าใจว่าการทำงานสร้างสรรค์ไม่เคยเป็นของง่าย ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
สำหรับงานเขียนแล้วผมเชื่อเสมอว่า “นักเขียนรู้สึกอย่างไร คนอ่านรู้สึกอย่างนั้น”
สุทัศน์ ธรรมสถิตนิเวศ
เปิด รับ สมัคร โครงการ "ปกติเขียน"
โครงการ “ปกติเขียน” เพื่อค้นหาศิลปินในพำนัก ณ เมือง Aulendorf, Germany ระยะเวลา21วัน จำนวน2คน - ”เคี่ยวกรำจนเป็นปกติ” - ”สนุกจนยั่งยืน” กติกาการสร้างงาน - ผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นผู้เข้าร่วมอบรมกับสตอรี่ฮับ มาแล้ว - เปิดรับสมัครผู้ที่เคี่ยวกรำ ต้องปาวารณาตนสู่วินัย ต่อเนื่อง 120วัน - ส่งชิ้นงานทุกวันภายในเที่ยงคืน หากขาดวันใดวันหนึ่งถือว่าสละสิทธิ์ - ชิ้นงานคือ”เรื่องเล่า”เขียนขึ้นใหม่ จบในชิ้นงาน ความยาว 1-2 หน้า ไม่จำกัดรูปแบบ เปิดรับสมัคร ตั้งแต่ วันนี้ถึง วันที่ 11 สิงหาคม 2567 เริ่มส่งผลงาน วันที่ 12 สิงหาคม – 9 ธันวาคม 2567 วิธีการสมัคร ส่งชื่อพร้อมรูปถ่ายอันมุ่งมั่น ได้ที่เพจ Storyhubthailand
ประกาศผลรางวัล โครงการเขียนให้เป็น เล่นให้ขาย "สตอรี่ฮับ ไทยแลนด์" Story Hub Thailand
รางวัลสุดยอดนักเล่าเรื่องแห่งปี The Story Hub Thailand Award 2567
คุณกิตติ มีชัยเขตต์
รางวัลชิ้นงานดีเด่น ประเภทสารคดี (Documentary)
คุณเสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ
รางวัลชิ้นงานดีเด่น ประเภทเรื่องสั้น (Short Story)
คุณเธียรชัย อิศรเดช
รางวัลผู้ที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลงาน ประเภทเรื่องสั้น (Short Story)
คุณสุรัตน์ ฐิตาริยกุล
รางวัลชิ้นงานดีเด่น ประเภทบทพูดคนเดียว (Monologue)
คุณภัทษานิษฐ์ พาแพง
รางวัลชิ้นงานดีเด่น ประเภทบทภาพยนตร์ (Movie)
คุณขจรพัฒน์ สุขภัทราพิรมย์
รางวัลชิ้นงานดีเด่น ประเภทบทละครเวที (Play)
คุณกิตติ มีชัยเขตต์
รางวัลชิ้นงานดีเด่น ประเภทบทกวี (Poetry)
คุณวิศิษฐ์ ปรียานนท์
รางวัลผู้ที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลงาน ประเภทบทกวี (Poetry)
คุณธีรวัฒน์ ยิ่งถาวร
ขอแสดงความยินดีกับนักเล่าเรื่องทุกท่าน

